bclub99.com : หากพูดถึงการแข่งขันบาสเกตบอลหรือกีฬาทั่วโลก เมื่อย้อนไปสัก 30-40 ปีก่อน สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ “เป็นการแข่งขันกีฬาโดยเนื้อแท้” เพราะถึงแม้จะมีการถ่ายทอดสดตามปกติ มีแฟนกีฬามานั่งชม นั่งเชียร์กันเป็นกิจวัตรของชุมชน คนแถวนั้น ทว่าก็ไม่ได้มีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ใดๆ ที่พิเศษแตกต่างมากนัก แต่เมื่อเวลาหมุนผ่านสู่ยุคใหม่ หลายสิ่งหลายอย่างเริ่มเปลี่ยนไป สิ่งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสแฟชั่นถาโถมเข้ามา กีฬาจึงไม่ใช่เพียงแค่กีฬาอีกต่อไป ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การที่แฟชั่นกับกีฬานั้นเข้ามาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน นักกีฬาใช้รองเท้ากีฬาที่สวย ทันสมัย มีเทคโนโลยีดีๆ หรือแม้แต่แฟชั่นการแต่งตัวในสนามก็เริ่มเข้ามา จนทำให้สนามการแข่งขันกีฬาในบางครั้ง ก็กลายเป็นเวทีแคทวอล์คไปในขณะเดียวกัน ซึ่งสำหรับบาสเกตบอล NBA ลีกอาชีพที่ดีและได้รับความนิยมที่สุดในโลกนั้น เหล่าสตาร์แม่นห่วงทั้งหลายถือว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้แฟชั่นของพวกเขาไม่สิ้นสุดแค่ในสนามเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นตัวอย่างให้วัยรุ่น หรือคนรักกีฬาทำตามอีกด้วย หากย้อนกลับไปในยุค 80’s หรือ 90’s การแต่งตัวของนักบาสเกตบอล NBA นั้นดูจะไม่เยอะแยะมากมายเท่าไหร่ ไม่ต้องมีอะไรมากมาย แค่ชุดแข่ง รองเท้า ครบตามกติกากำหนด แม้ในกรณีของรองเท้าอาจจะมีความหลากหลายมากหน่อย จากการที่แบรนด์ดังๆ เริ่มที่จะเข้ามาทำการตลาดกับนักบาสเกตบอล NBA บ้างแล้วในยุคนั้น แต่ก็ถือได้ว่ายังอยู่ในกรอบและไม่ฉีกกฎ ฉีกขนบมากสักเท่าไร
ทว่าเมื่อเข้าสู่ยุค 2000’s แฟชั่นการแต่งตัวของนักบาสเกตบอลในการแข่งขันในสนามนั้นกลับเปลี่ยนไปมากแบบที่คงเรียกได้ว่า “จากหน้ามือเป็นหลังมือ” และคนที่จุดกระแสให้การแต่งตัวแบบแฟชั่นบูมใน NBA นั้น หลายคนยกให้ อัลเลน ไอเวอร์สัน การ์ดจ่ายผู้สร้างผลงานระดับตำนานกับ ฟิลาเดลเฟีย เซเว่นตี้ซิกเซอร์ส เป็นผู้นำเทรนด์อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ด้วยความที่ “AI” เป็นนักบาสเกตบอลสายอินดี้ ที่อยากทำอะไรก็ทำแบบไม่คิดตามใจใคร เขาจึงจัดเต็มกับการแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยการใส่ทั้ง อาร์มสลีฟ หรือปลอกรัดแขน, ถักผมทรง คอร์นโรล (Cornrow) และใส่ที่คาดผม, สักลายเต็มตัว รวมถึงสวมกางเกงตัวใหญ่ๆ ลงสนาม ซึ่งไอเวอร์สันดูจะได้แรงบันดาลใจในการแต่งตัวลักษณะดังกล่าวจากแฟชั่นแนว “สตรีท” รวมถึงแฟชั่นจาก “ดนตรีฮิปฮอป” อย่างที่ตนชอบ และมันก็ไปโดนใจเพื่อนร่วมวงการมากมาย กลายเป็นแนวทางให้หลายคนแต่งตัวตามจนกลายเป็นแฟชั่น ไม่เพียงเท่านั้น มันยังได้ขยายลามไปถึงนอกสนามด้วย เสื้อยืดตัวใหญ่ๆ สร้อยเส้นเท่าแขน กางเกงขาสั้นตัวใหญ่ๆ ใส่แบบหมิ่นเหม่จะเกาะเอวไม่อยู่ รวมไปถึงเครื่องแต่งตัวสายแรปเปอร์ สายฮิปฮอปอีกมากมาย กลายเป็นไอเทมที่นักบาสเกตบอล NBA ต่างพาเหรดสวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาเดินทางเข้าสนามแข่ง หรือแม้กระทั่งมาเชียร์เพื่อนๆ ในกรณีที่ไม่สามารถลงแข่งได้ แถมยังลามไปถึงการให้สัมภาษณ์หลังเกมการแข่งขัน ด้วยภาพที่ออกหน้าสื่อไปเช่นนั้นบ่อยครั้ง หลายคนจึงเรียก NBA ว่า “ชุมชนฮิปฮอป” กันเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น กฎยังยังห้ามแต่งกายที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมฮิปฮอปโดยเด็ดขาด ทั้งการสวมเสื้อยืดตัวใหญ่ กางเกงยีนส์ แจ็คเก็ตขาดๆ สร้อยคอใหญ่ๆ รองเท้าผ้าใบ หรืออะไรก็ตามที่คล้ายคลึงกัน เช่นเดียวกับตัวโค้ชเองที่ก็โดนหางเลขไปด้วย โดยกฎระบุว่าต้องใส่สูทเท่านั้น ส่วนเรื่องการผูกเนคไทหรือโบว์ไทนั้นไม่บังคับ ซึ่งแน่นอนว่ากฎเหล่านี้ทำให้ผู้เล่น NBA ส่วนใหญ่ที่เป็นผู้เล่นผิวดำไม่พอใจเพราะฮิปฮอปคือวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับพวกเขา “มันเป็นเรื่องที่ตลกและบ้ามาก ที่วัฒนธรรมของพวกเรา และการแต่งกายที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของเรานั้นถูกจำกัด พวกเขากำลังกำหนดสิ่งที่เขาอยากให้เป็นกับเรา มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย” นี่คือส่วนหนึ่งจากปากของ อัลเลน ไอเวอร์สัน เจ้าพ่อแฟชั่นในยุคนั้น ที่ด่าเรื่องนี้ผ่านสื่อแทบทุกวัน เช่นเดียวกับ พอล เพียร์ซ อีกหนึ่งสตาร์ดังในยุคนั้นที่ออกมาผสมโรงเช่นกัน “ผม พวกเรา เป็นส่วนนึงของวัฒนธรรมฮิปฮอป เสื้อตัวใหญ่ สร้อยเส้นใหญ่ๆ มันบ่งบอกความเป็นตัวตนของเรา ลีกนี้มีแต่ผู้เล่นผิวดำ และพวกเขากำลังจะกำหนดพวกเรา” และด้วยการที่ผู้เล่น NBA พากันเดินทางสู่มาสู่สายแฟชั่น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือการที่อุตสาหกรรมแฟชั่นต่างๆ ทั้งแบรนด์เนมและไม่แบรนด์เนมต่างผลิตสินค้าออกมาตามกระแส เพื่อให้แฟนๆ นั้นได้แต่งตัวตามนักบาสที่ชื่นชอบ และทำให้อุตสาหกรรมแฟชั่นสายกีฬากับสตรีทเติบโตขึ้นตามไปด้วย