bclub99.com : หนังฮอลลีวู้ดคือสื่อที่เป็นยิ่งกว่าความบันเทิง เพราะหนังดีๆ เรื่องหนึ่งสามารถสร้างอิทธิพลให้กับโลกใบนี้ได้อย่างน่าประหลาด Rocky หนังมวยที่สร้างเเรงบันดาลใจและเป็นหนักกี จากหนังสร้างแรงบันดาลใจกลายเป็นฮีโร่อเมริกันชนที่ใส่นวมไปถลุงกับปีศาจร้ายจากชาติคู่ปรับตลอดกาลของอเมริกาอย่างสหภาพโซเวียต Rocky ภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตนักมวยที่แสดงนำ, เขียนบท และกำกับโดย ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน (มีเพียงภาคแรกและภาค 4 เท่านั้นที่ไม่ได้กำกับเอง) ความยอดเยี่ยมของหนังเรื่องนี้คือการเล่าเรื่องผ่านชีวิตไปพร้อมกับการชก และทำให้คนที่ดูเข้าใจความหมายว่าชีวิตของคนเรานั้นทำไมเมื่อเกิดมาแล้วจึงควรต้องสู้ สตอลโลน เล่าเรื่องทุกอย่างได้ครบรสตั้งแต่วันที่ ร็อคกี้ ตกอับ จนกระทั่งได้ส้มหล่นเมื่อแชมป์โลกที่ชื่อว่า อพอลโล่ ครีด เลือกเขาขึ้นมาเพื่อเป็นบันไดให้ตัวเองเพิ่มสถิติการชกและป้องกันแชมป์ แต่ความยอดเยี่ยมคือ เมื่อโอกาสผ่านเข้ามาแค่ครั้งเดียว ร็อคกี้ บัลบัว เลือกที่จะทุ่มเทแบบแลกด้วยชีวิตเพื่อคว้าโอกาสครั้งนั้นให้ได้ ฬาที่ทำรายได้มากที่สุดก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงภาคที่ 4 ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ตัวนำสำคัญของเรื่องทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังกลับตัดสินใจฝังความสำเร็จที่ทำมาหลายปีด้วยการ “เปลี่ยนแนวมันซะ” สตอลโลน เล่าว่าเขาใช้เวลา 20 ชั่วโมงรวดเพื่อเขียนบททั้งหมด 90 หน้าของ Rocky ภาคแรก ทุกอย่างกลั่นออกมาชีวิตของเขาเองที่เคยตกระกำลำบากจนถึงขั้นต้องขายสุนัขคู่ใจให้กับคนแปลกหน้า หรือแม้กระทั่งไปทำงานรับจ้างเป็นคนล้างกรงในสวนสัตว์ที่ เซ็นทรัล พาร์ค เมื่อครั้งอดีต
การเล่าเรื่องคนขี้แพ้ในมหานครแห่งความฝันทำให้หนังเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อสังคมอเมริกันมากในยุคนั้น นอกจากนี้มันยังทำรายได้มหาศาลถึง 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตอนออกฉายในปี 1976 ทั้งๆ ที่ใช้ทุนสร้างเพียง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ที่สำคัญ Rocky ยังเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปี 1976 ถึง 10 รางวัลและคว้ารางวัลมาได้ 3 สาขาได้แก่ Best Picture (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม), Best Director (ผู้กำกับยอดเยี่ยม) และ Best Film Editing (ลำดับภาพยอดเยี่ยม) ภาค 2 ออกฉายในปี 1979 เกี่ยวกับช่วงที่ ร็อคกี้ ออกไปใช้นอกชีวิตนอกสังเวียน ก่อนที่จะต้องคืนวงการอีกครั้งหลังถูก อพอลโล่ ครีด ท้ารีแมตช์ ภาคที่ 3 ออกฉายในปี 1982 เกี่ยวกับช่วงเวลาที่ ร็อคกี้ ป้องกันแชมป์โลกเฮฟวี่เวตได้ 10 สมัย แต่ชีวิตก็ไม่มีความสุข และเมื่อนั้นเขาแพ้ให้กับคู่ชกจนเสียแชมป์โลก ซึ่งหลังจากแพ้น็อคครั้งนั้น ร็อคกี้ ก็พยายามตามหาสัญชาตญาณนักสู้ของเขาให้กลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามแม้จะเริ่มต้นด้วยการเป็นหนังดราม่าที่สร้างแรงบันดาลใจและประสบความสำเร็จมากจากจุดนั้น ทว่า สตอลโลน ไม่ยอมหยุดการ “โต” ของหนังเรื่องนี้ขึ้นไปอีกขั้นในภาคที่ 4 ซึ่งออกฉายในปี 1985 เพราะหนนี้ สตอลโลน เล่นใหญ่ด้วยการตั้งใจจะพาตัวละคร ร็อคกี้ ออกไปชกนอกสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก
เป็นช่วงจังหวะที่พอดีลงตัวเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากเข้าสู่ยุค ’80s เป็นต้นมา สงครามเย็น (Cold War) ระหว่างโลกเสรีที่มีอเมริกาเป็นแกนนำ กับโลกคอมมิวนิสต์ที่มีโซเวียดเป็นหัวหอก เข้าสู่การปะทุรอบสองพอดี เนื่องจากเกิดสงครามโซเวียตในอัฟกานิสถานเริ่มใน 1979 ซึ่งโซเวียตมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยน อัฟกานิสถาน ให้เป็นประเทศคอมมิวนิสต์เหมือนกับตน ขณะที่ อเมริกา ก็พยายามคานอำนาจเต็มที่ด้วยการเพิ่มการกดดันด้านการฑูต, การทหาร และทางเศรษฐกิจด้วย ประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน พยายามใช้วาทะกรรมหลายอย่างเพื่อโจมตีโซเวียตว่าเป็นอาณาจักรแห่งความชั่วร้าย ไร้ความเมตตา และมีนโยบายที่ล้าสมัย อย่างไรก็ตามสิ่งที่แอบสร้างความกดดันและปลูกฝังอยู่แบบลับๆ ที่ซ่อนตัวอยู่คืออุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูด ด้วยวิธีการนำเสนอหนังที่ทำให้ โซเวียต เป็นตัวร้าย จากนั้นก็ออกฉายไปทั่วโลกเพื่อสร้างภาพจำให้กับประชากรที่ได้รับชม ในยุคนั้นถือเป็นยุคทองของหนังแอ็คชั่น นักเแสดงสายบู๊แจ้งเกิดขึ้นมาหลายคนทั้ง ชัค นอร์ริส, บรูซ วิลลิส, ฌอง โคล้ด แวนแดม, สตีเว่น ซีกัล และ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ ซึ่งหนังแอ็คชั่นที่พวกเขาแสดงหลายเรื่อง มักมีแพทเทิร์นคล้ายๆ กัน คือมีตัวโกงเป็นฝั่งโซเวียตในแทบจะทั้งสิ้นเลยทีเดียว สตอลโลน วางให้ ดราโก้ เป็นคนที่น่าเกลียดในทุกๆ อย่างทั้งในแง่ของความเย็นชา ใบหน้าที่เรียบเฉย การกระทำที่ไม่สนถูกผิดและชั่วร้ายถึงขีดสุด ที่สำคัญคือ ดราโก้ คือคนที่ฆ่า อพอลโล่ ครีด คู่ปรับตลอดกาลที่ภายหลังเป็นเพื่อนซี้ของ ร็อคกี้ และเป็นตัวละครโปรดของแฟนๆ ด้วย