Bclub99.com : เลสเตอร์ของกุนซือเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ต้องบอกเลยว่าไม่ธรรมดาเพราะกลายเป็นทีมที่เล่นบอลสวยงาม มีจังหวะโต้กลับที่แสนเฉียบคม แถม เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้าตัวเก่ง ก็ฟอร์มกระฉูดแตก ซึ่งแน่นอนว่านี่คือสิ่งที่แนวรับ “หงส์แดง” ต้องระมัดระวังกันให้ดีๆขณะที่ “เดอะ เร้ดส์” ตำแหน่งที่น่าเป็นห่วงคงหนีไม่พ้นเซนเตอร์แบ็ก เพราะดูแล้ว โฌแอล มาติป คงฟิตไม่ทันลงสนาม ทำให้ทีมมีสิทธิ์ต้องใช้งาน โจ โกเมซ มากกว่า เดยัน ลอฟเรน ฉะนั้นหาก แนวรับสารพัดประโยชน์ชาวอังกฤษ เล่นผิดพลาดเหมือนที่ทำในเกมกับ ซัลซ์บวร์ก งานนี้ “หงส์แดง” อาจจะแผลงฤทธิ์ไม่ออกก็ได้1. มาเน่ ปะทะ วาร์ดี้ ซาดิโอ มาเน่ คว้าตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก ร่วมกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา โดยในฤดูกาลนี้ฟอร์มการเล่นของ สตาร์ลูกหนังชาวเซเนกัล ก็ยังคงร้อนแรง และยิงประตูให้ “หงส์แดง” ได้ต่อเนื่อง ปัจจุบัน มาเน่ ซัดไปแล้ว 4 ประตูในลีก และเขาต้องอีก 1 ประตูเพื่อทำตะบันตาข่ายครบ 50 ลูกในการเล่นเกมลีกให้กับ “เดอะ เร้ดส์” จากการลงเล่นครบ 100 เกมร่วมกับต้นสังกัด อย่างไรก็ตามแมตช์นี้ ลิเวอร์พูล ก็ต้องระมัดระวังการโดนเจาะตาข่ายเพราะผู้มาเยือนมีหัวหอกตัวเก่ง เจมี่ วาร์ดี้
สำหรับ วาร์ดี้ ต้องบอกเลยว่าฟอร์มการเล่นกำลังร้อนแรงเช่นกัน โดยในช่วงต้นซีซั่นนี้เขาซัดไปแล้ว 5 ประตู แถมที่เด็ดกว่านั้นก็คือเจ้าตัวมักจะเล่นได้ดีเวลาที่เจอกับ ลิเวอร์พูล เมื่อซัดไป 7 ลูกเวลาดวลกับพวกเขา และมีเพียง แอนดี้ โคล (11) กับ เธียร์รี่ อองรี (8) ที่สามารถส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายในการพบ “หงส์แดง” เกมพรีเมียร์ลีก ได้มากกว่า ดาวยิงหมายเลข 9หัวหอกวัย 32 ปีมีค่าเฉลี่ยการยิงประตูทุกๆ 126 นาที เหนือกว่า มาเน่ ที่ต้องใช้ความพยายามประมาณ 129.5 นาทีต่อประตู และนับตั้งแต่ต้นฤดูกาล 2010/11 มีเพียงแค่ เซร์คิโอ อเกวโร่ กองหน้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีจำนวนนาทีการยิงประตูในการพบกับทีมระดับ “บิ๊ก ซิกซ์” เหนือกว่า วาร์ดี้ แน่นอนว่าเรื่องจังหวะการจบสกอร์ที่แสนคมกริบต้องยกให้กับ อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ แต่เรื่องความเร็ว และความสดของสภาพร่างกาย มาเน่ เหลือกว่าหลายขุม ฉะนั้นในเกมนี้หากแนวรับของแต่ละฝ่ายพลาด หรือปล่อยให้ทั้งคู่ได้มีโอกาส มีความเป็นไปได้สูงที่บอลจะเข้าไปซุกก้นตาข่าย 2. ร็อดเจอร์ส กลับเมอร์ซี่ย์ไซด์
แมตชี้จะเป็นครั้งแรกที่ เบรนดอน ร็อดเจอร์ส ได้เดินทางกลับมายังแอนฟิลด์อีกครั้ง นับตั้งแต่ที่เขาโดนเฉดหัวออกจากแอนฟิลด์ เมื่อเดือนตุลาคม 2015 ซึ่งเป็นการหลีกทางให้กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ก้าวเข้ามาสร้างทัพ “หงส์แดง” จนถึงปัจจุบัน
อดีตนายใหญ่ “หงส์ขาว” สวอน ซิตี้ เกือบนำ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมื่อฤดูกาล 2013/14 แต่น่าเสียดายที่ในฤดูกาลนั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การกุมบังเหียนของ มานูเอล เปเยกรีนี่ ผงาดสร้างความยิ่งใหญ่ปาดหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครอบครองนับตั้งแต่ที่ ร็อดเจอร์ส เข้ามารั้งตำแหน่งนายใหญ่ “เดอะ ฟ็อกซ์” แทนที่ โคล้ด ปูแอล มีเพียงแค่ 2 สโมสรได้แก่ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่เก็บคะแนนในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้มากกว่า เลสเตอร์ ซิตี้ เท่านั้น แน่นอนว่า คล็อปป์ สามารถนำ ลิเวอร์พูล กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ในเวทีฟุตบอลถ้วยยุโรป และพา “หงส์แดง” เบียดบี้ขยี้คู่แข่งในการลุ้นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 3 ทศวรรษ ขณะที่ “บีร็อด” ต้องการที่จะพิสูจน์ให้ต้นสังกัดเก่าได้เห็นว่าเขามีศักยภาพชั้นยอด และผู้บริหาร “เดอะ เร้ดส์” ต้องเสียใจที่เฉดหัวออกจากทีม ทั้งนี้ ร็อดเจอร์ส ยังมีแรงกระตุ้นที่สำคัญอีกเรื่องก็คือความต้องการที่จะเป็นสโมสรแรกที่สามารถยัดเยียดความปราชัยนัดแรกให้กับ ลิเวอร์พูล ในเกมลีกซีซั่นนี้ กระนั้น คล็อปป์ ก็คงรู้ตัวดีว่า “บีร็อด” คงนำทีมมาเยือนด้วยการเล่นเกมรุกแต่ยังมีทีเด็ดตรงจังหวะสวนกลับที่แสนเฉียบคม และบทเรียนจากเกมกับ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก เมื่อกลางสัปดาห์คงทำให้เขารู้ว่าต้องรับมือการสไตล์การเล่นแบบนี้ยังไง