Bclub99.com : “หงส์แดง” ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จัดชุดที่ดีที่สุดลงสนาม เกมรุกตำแหน่งที่่ขาดหายไปของ ซาดิโอ มาเน่ ส่ง ดิว็อค โอริกี้ ลงประสานงานกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ คู่เซนเตอร์แบ็กจัด โจ โกเมซ ยืนคู่ เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค
ฟาก โจเซป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่ แมนฯ ซิตี้ ทริปเปิ้ลแชมป์ฤดูกาลที่แล้ว ยึดขุนพลจากเกมชนะ โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส เป็นหลัก แนวรุกมาในรูปแบบ “ฟอลส์ นายน์” วาง ราฮีม สเตอร์ลิง รับบทหน้าเป้า ส่วนแข้งใหม่อย่าง โรดรี ได้คุมเกมหน้าแผงหลัง
ครึ่งแรกเริ่มมา แมนฯ ซิตี้ เปิดฉากบุกเข้าใส่ทันที และเกือบได้ประตูขึ้นนำ ใน น.4 ราฮีม สเตอร์ลิง จ่ายให้ ลีรอย ซาเน่ หลุดเดี่ยวมาซัดด้วยซ้ายแต่บอลไปเข้าหน้าต่างเสาแรก จากนั้นสองนาที ลิเวอร์พูล ได้สวนมาบ้าง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กระดกบอลเข้าซ้ายหน้าเขตโทษก่อนจะหวดเต็มข้อบอลยังไปตรงตัว อลีสซง เบ็คเกอร์ เกมเปิดหน้าแลกกันกันอย่างสนุก น.8 หงส์แดง ได้ลุ้นขึ้นนำเมื่อ ฟีร์มีโน่ จ่ายให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้หลุดไปแปด้วยซ้ายแต่บอลยังไม่ตรงกรอบ น.11 แมนฯ ซิตี้ เจอข่าวร้ายเมื่อ ลีรอย ซาเน่ มีอาการบาดเจ็บเล่นต่อไม่ไหวก่อนจะเป็น กาเบรียล เชซุส ลงมาเล่นแทน อย่างไรก็ตามนาทีถัดมา เรือใบสีฟ้า ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ดาบิด ซิลบา ดีดบอลให้ ราฮีม สเตอร์ลิง ได้ยิงเน้นๆหน้าปากประตู อลีสซง ปัดไม่พ้นบอลตุงตาข่าย ถัดมา น.15 หงส์แดง หวิดได้ประตูเสมอแบบทันควัน เมื่อ ซาลาห์ กระชากหลบ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ มาซัดเสาแรกบอลหลุดกรอบไปแบบน่าเสียดาย จากนั้นรูปเกมเริ่มผ่อนลงและครบครึ่งชั่วโมง หงส์แดง ได้ทักทายอีกครั้งจากการยิงของ ซาลาห์ แต่บอลยังคงไม่ตรงกรอบ ก่อนที่ช่วงท้ายครึ่งแรกรูปเกมแทบไม่มีจังหวะหวาดเสียวเพิ่ม จบ 45 นาทีแรก ลิเวอร์พูล ตามหลัง แมนฯ ซิตี้ 0-1 ครึ่งหลังเล่นมาได้สองนาที แมนซิตี้ เกือบได้ลูกสอง ดาบิด ซิลบา วิ่งมาตะบันด้วยซ้ายในเขตโทษบอลเหินข้ามคาน หลังจากนั้น น.48 พลาดได้ประตูทิ้งห่างแบบน่าเสียดายเมื่อ ดาบิด ซิลบา จ่ายทะลุช่องให้ สเตอร์ลิง หลุดเดี่ยวพยายามแปไปเสาไกลแต่บอลไปชนเสา น.57 ลิเวอร์พูล เกือบได้ประตูตีเสมอ เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ได้หวดด้วยซ้ายจากลูกเตะมุมบอลไปชนคานก่อนจะตกบนเส้นยังเข้าไปไม่เต็มใบ
หงส์แดง พยายามเดินหน้าแลกหมัดหวังทวงประตูคืน น.69 ซาลาห์ เลี้ยงกินตัวมาในเขตโทษก่อนซัดด้วยซ้ายยัดเสาแรก แต่ เคลาดิโอ บราโว พุ่งรับไว้ได้ น.78 ลิเวอร์พูล ตามตีเสมอได้สำเร็จ 1-1 เป็นการประสานงานระหว่างสองกองหลังเมื่อ เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ตักโด่งเข้ากลางให้ โฌแอล มาติป ได้ขึ้นโขกเน้นๆ เคลาดิโอ บราโว หมดสิทธิ์เซฟ จากนั้น ลิเวอร์พูล โหมบุกใส่อย่างหนักหวิดพลิกขึ้นนำ ใน น.83 เมื่อ เนบี้ เกอิต้า ได้แปเน้นๆหน้าเขตโทษแต่ เคลาดิโอ บราโว บินเซฟไว้ได้ ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 90+2 หงส์แดง หวิดได้ประตูขึ้นนำแบบเหลือเชื่อ ซาลาห์ หลุดเดี่ยวมาซัดไปติดเซฟ บราโว่ ก่อนที่จะตามชิบซ้ำดาบสองบอลกำลังจะข้ามเส้นแต่ ไคล์ วอล์คเกอร์ ตามมาสกัดออกไปได้แบบหวุดหวิด เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบ 90 นาทีเสมอ 1-1 ต้องไปตัดสินที่การดวลจุดโทษ ก่อนจะเป็น แมนฯ ซิตี้ ที่ยิงได้แม่นยำกว่าเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 5-4 คว้าโล่การกุศลไปครองเป็นสมัยที่ 6