bclub.com: ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มกลับมาเปิดฉากแล้วในค่ำวันนี้มี 4 สโมสรจาก พรีเมียร์ลีก ที่ได้เข้าร่วมชิงชัยหรือที่เราเรียกว่า ‘บิ๊กโฟร์’ ประกอบด้วย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ , ลิเวอร์พูล , เชลซี และ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ โดย 2 ทีมที่จะลงประเดิมสนามในนัดแรกก่อนเพื่อนได้แก่ หงส์แดง ‘แชมป์เก่า’ ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ และ สิงห์บลู แชมป์ ยูโรป้าลีก ภายใต้กุนซือมือใหม่อย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด โดยอีก 2 สโมสรจะลงสนามในวันถัดไปเรามาดูกันว่าบรรดาตัวแทนของฟุตบอลอังกฤษทั้ง 4 ทีมนี้จะมีความพร้อมขนาดไหนและพวกเขาจะทำได้ดีเพียงใดในฤดูกาลนี้ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ : รองแชมป์เก่าที่แกร่งกว่าเดิมผลงานเมื่อฤดูกาลที่แล้ว : รองชนะเลิศรองแชมป์เก่าปีนี้เติมความแข็งแกร่งด้วยการทุ่มเงินเสริมนักเตะใหม่ในแดนกลางอย่าง ตองกี เอ็นดอมเบเล บวกกับนักเตะชุดเดิมที่เหลือทั้งหมด พร้อมด้วยประสบการณ์ในการลงเล่นรายการนี้ที่มากขึ้นและเคี่ยวขึ้น ทำให้พวกเขาไม่ใช่ทีมไม้ประดับอีกต่อไป เชลซี : ยินดีต้อนรับ แฟรงค์ แลมพาร์ด สู่ แชมเปี้ยนส์ลีกผลงานเมื่อฤดูกาลที่แล้ว : แชมป์ ยูโรป้าลีก
ทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ต้องลงเล่นในรายการนี้ด้วยนักเตะดาวรุ่งหลายคนเนื่องจากโทษแบนจาตลาดซื้อขายนักเตะเมื่อช่วงซัมเมอร์ ซึ่งแน่นอนว่าเกือบทั้งหมดจะได้สัมผัสศึกที่ยิ่งใหญ่นี้เป็นครั้งแรกในชีวิต รวมไปถึงตัวกุนซือเองด้วยแน่นอนว่า ซูเปอร์แฟรงค์ อาจจะเคยชูถ้วยใบนี้มาแล้วเมื่อปี 2012 กับ เชลซี แต่อารมณ์และความรู้สึกนั้นมันต่างกันโดยสิ้นเชิง แลมพ์ ต้องเจอความกดดันสารพัด พร้อมกับความเขี้ยวลากดินของทีมในกลุ่มซึ่งมีทั้ง อาแจ็กซ์, ลีลล์ และ บาเลนเซีย ซึ่งจะว่าไปแล้วระดับก็ไม่ค่อยต่างกันซักเท่าไหร่อย่างไรก็ตามเรื่องดี ๆ ก็มีเช่นกัน เพราะใช่ว่ากุนซือวัย 41 ปีจะต้องพาเด็ก ๆ ลงลุยศึกเสือสิงห์กระทิงแรดแต่เพียงลำพังเท่านั้น พวกเขายังมีนักเตะเก๋า ๆ ที่เคยผ่านเวทีนี้มาแล้วรวมทั้งยังช่วยกันคว้าแชมป์ ยูโรป้าลีก เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาช่วยประคองทีม เช่น เอ็นโกโล ก็องเต้, โอลิวิเยร์ ชิรูด์, วิลเลียน, มาเตโอ โควาซิช และ เซซาร์ อัซปิลิกูเอต้า บวกกับพวกที่กำลังรุ่งอย่าง คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย และ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ดังนั้นเมื่อลองถัวเฉลี่ยปัจจัยหลาย ๆ อย่างดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นงานยากของ แลมพาร์ด ซักเท่าใดนักในการผ่านรอบแบ่งกลุ่ม และหากประเดิมสนามได้เข้าตาก็มีสิทธิจะมองไปถึงรอบน็อคเอ้าท์ได้เลย
ลิเวอร์พูล : แชมป์เก่า หน้าเดิมผลงานเมื่อฤดูกาลที่แล้ว : แชมป์หงส์แดง กลับมาป้องกันแชมป์รายการนี้ด้วยผู้เล่นหน้าเดิม 100% พวกเขาแทบไม่ซื้อใครเข้ามาเติมทีมชุดใหญ่เลย มีเพียงในตำแหน่งผู้รักษาประตูที่เซ็นฟรี อาเดรียน และ แอนดี้ โลเนอร์แกน เข้ามาใช้งานในช่วงที่ อลิสซอน ได้รับบาดเจ็บยาว แถมยังปล่อยนักเตะที่หมดสัญญาและไม่ได้ใช้งานออกไปหลายรายความที่ไม่ได้เติมผู้เล่นเอ้าท์ฟิลด์เข้ามาทำให้นักเตะชุดเดิมได้เล่นด้วยกันมากขึ้นและมีความเข้าใจกันมากขึ้น วัดได้จากผลงานในลีก 5 นัดแรกที่พวกเขาเก็บชัยชนะรวด ยังไม่นับพวกที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บกลับมาลงสนามได้อีกครั้งอย่าง อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน ที่ถือเป็นตัวหลักเมื่อ 2 ซีซันที่แล้วบวกกับดาวรุ่งอย่าง ไรอัน บรูวสเตอร์ ก็ถือว่าเหมือนได้นักเตะใหม่เสริมความแข็งแกร่งเช่นกันปัญหา 2 ประการที่จะเล่นงานพวกเขาได้ก็คือ ขุมกำลังเชิงลึกที่ยังไม่อาจจะบอกได้เต็มปากว่าสามารถทดแทนกันได้เต็มร้อย และการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกในรอบ 30 ปีซึ่งหากผ่านเข้าสู่รอบลึก ๆ 2 ประเด็นนี้อาจจะเริ่มส่งผลต่อทีมก็เป็นได้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เต็งหนึ่งตลอดกาลผลงานเมื่อฤดูกาลที่แล้ว : รอบควอเตอร์ไฟนอล นับตั้งแต่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เข้ามาสร้างให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นทีมแกร่งจนไร้เทียมทานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทพนันถูกกฎหมายก็ต่างยกให้พวกเขาเป็นเต็งหนึ่งในทุกรายการที่ลงสนามรวมทั้ง แชมเปี้ยนส์ลีกแต่ปัญหาเดียวที่ทำให้ทีมของกุนซือชาวคาตาลันไปไม่ถึงฝั่งฝันเสียทีก็คือ สภาพจิตใจของนักเตะยามเมื่อลงเล่นในเกมชี้ชะตา โดยเมื่อดูจาก 2 ซีซันที่ผ่านมาพวกเขาตกรอบควอเตอร์ไฟนอลด้วยน้ำมือของทีมจากอังกฤษอย่าง ลิเวอร์พูล และ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ได้ถูกจัดให้เป็นทีมเต็งในรายการนี้ แต่ที่น่าแปลกคือหลังจากนั้นทั้งสองทีมก็ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จปีนี้พวกเขาก็เป็นตัวเต็งอีกครั้งด้วยขุมกำลังที่ไม่ว่าจะจัดทีมไหนลงสนามก็สามารถเอาชนะได้ทุกสโมสรบนโลกมนุษย์ใบนี้ และเชื่อว่า เป๊ป ก็มุ่งมั่นเอาจริงกว่าเดิม หากแต่สิ่งที่เขาต้องทำคือการยกระดับสภาพจิตใจของบรรดาสตาร์ค่าตัวแพงให้นิ่งและเคี่ยวยิ่งขึ้น ซึ่งต้องรอดูกันว่าพวกเขาจะสามารถทำฝันของ ชีค มานซู ได้หรือไม่